“ดีโอดี ไบโอเทค” คว้าลูกค้าธุรกิจค้าปลีกชั้นนำของไทยเข้าพอร์ต จ่อทยอยส่งมอบออเดอร์ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร 5 ผลิตภัณฑ์ปีนี้ พร้อมส่งซิกเตรียมเสิร์ฟออเดอร์ ผลิตภัณฑ์ Soft Gel จากสารสกัด Hemp Seed Oil ลูกค้ารายแรกปลาย พ.ย.นี้ เตรียมนับถอยหลังรับใบอนุญาตตั้งโรงสกัดสาร CBD ธ.ค.นี้ พร้อมอัปเดตต้นปี 2565 ลุยส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมจากสารสกัดจากกัญชงให้กลุ่มพันธมิตรไม่ต่ำกว่า 10 ราย
นายธนิน ศรีเศรษฐี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดีโอดี ไบโอเทค จำกัด (มหาชน) หรือ DOD เปิดเผยภาพรวมช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2564 ว่า บริษัทฯ จะมุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมจากสารสกัดจากกัญชง และพืชกระท่อม (ซึ่งถือพืชเศรษฐกิจใหม่ของประเทศ) อย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่ม และรักษาความสามารถในการแข่งขันให้กลุ่มบริษัทฯ
โดยล่าสุด บริษัทฯ ได้รับออเดอร์ใหม่จากบริษัทธุรกิจค้าปลีกชั้นนำของไทยเข้ามา โดยมียอดออเดอร์คำสั่งการผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร จำนวน 5 ผลิตภัณฑ์ และคาดว่าจะสามารถเริ่มทยอยส่งมอบผลิตภัณฑ์ดังกล่าวให้ลูกค้าได้ภายในสิ้นปีนี้อย่างแน่นอน ทั้งนี้มองว่าการที่บริษัทฯ ได้ออเดอร์ใหญ่จากลูกค้าซึ่งเป็นค้าปลีกยักษ์ใหญ่ เป็นการการันตีให้เห็นถึงศักยภาพของ DOD ที่มีจุดแข็งและความพร้อมด้านโรงสกัดวัตถุดิบ พร้อมด้วยทีมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ (R&D) ที่ค้นคว้าวิจัยนวัตกรรมและพัฒนาสารสกัดพืชสมุนไพรในการผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ตอบโจทย์ตรงตามความต้องการของลูกค้า ซึ่งบริษัทฯ เชื่อว่าการได้รับออเดอร์จากลูกค้ารายดังกล่าวเข้ามาจะช่วยหนุนการเติบโตของบริษัทฯ ในอนาคตได้อย่างมีนัยสำคัญ และจากความมุ่งมั่นในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมไปถึงผลิตภัณฑ์กัญชง และพืชกระท่อม ส่งผลให้ล่าสุดบริษัทฯ สามารถเตรียมส่งมอบผลิตภัณฑ์อาหารเสริมในรูปแบบแคปซูลนิ่ม (Soft Gel) ที่มีส่วนผสมของน้ำมันจากเมล็ดกัญชง (Hemp Seed Oil) และโปรตีนจากเมล็ดกัญชงที่มีสาร Tetrahydrocannabinol (THC) ต่ำกว่า 0.2% ให้ลูกค้ารายใหญ่ ซึ่งดำเนินธุรกิจจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารรายแรกภายในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน หรือช่วงต้นเดือนธันวาคมนี้
ส่วนผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมจากสารสกัดจากกัญชง ของกลุ่มพันธมิตร เช่น บมจ.เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย (JKN) บมจ.โรจูคิส อินเตอร์เนชั่นแนล (KISS) บมจ.บิวตี้ คอมมูนิตี้ (BEAUTY) บมจ.ชโย กรุ๊ป (CHAYO) บมจ.เอฟเอ็น แฟคตอรี่ เอ๊าท์เลท (FN) และกลุ่มผู้ประกอบการทั่วไปนั้น ปัจจุบันได้มีการวิจัยและพัฒนาสูตรสำเสร็จในระดับหนึ่งแล้ว และอยู่ระหว่างการยื่นขอขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากกัญชงต่อคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) โดยบริษัทฯ คาดว่าจะสามารถทยอยส่งมอบผลิตภัณฑ์ให้ลูกค้าในกลุ่มดังกล่าวได้ภายในช่วงต้นปี 2565 ตามแผนที่วางไว้
นอกจากนี้ นายธนิน ยังได้กล่าวถึงบริษัท สยาม เฮอเบิล เทค จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ DOD จะเป็นบริษัทที่เข้ามาเสริมศักยภาพในการบริหารจัดการในส่วนของโรงสกัดกัญชง และพืชกระท่อม ว่า ขณะนี้โรงสกัดสาร CBD ได้ผ่านการเห็นชอบจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างการนำเสนอเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ซึ่งคาดว่าจะได้รับใบอนุญาตตั้งโรงงานสกัดสาร CBD เพื่อเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์สารสกัดจากกัญชง ได้ภายในเดือนธันวาคมนี้อย่างแน่นอน ซึ่งหากได้รับใบอนุมัติบริษัทฯ สามารถดำเนินการผลิตในเชิงพาณิชย์ได้ทันที
ด้าน น.ส.สุวารินทร์ ก้อนทอง ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บมจ.ดีโอดี ไบโอเทค กล่าวเพิ่มเติมว่า จากสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันที่มีความเสี่ยงสูงและเปราะบาง ทำให้บริษัทฯ ได้ประเมินความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจระยะสั้น และระยะยาว จึงได้มีการปรับโครงสร้างของบริษัทฯ ด้วยการหยุดการดำเนินงานของบริษัทย่อยทั้ง 2 แห่ง ซึ่งประกอบด้วยธุรกิจเครื่องสำอางและธุรกิจเครือข่ายเพื่อไม่ให้มีผลขาดทุนเพิ่มเติม อีกทั้งรักษาความคล่องของกลุ่มบริษัทเพื่อรองรับกับการเติบโตในอนาคต
ทั้งนี้ แม้ว่าการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จะกระทบให้ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวอย่างรุนแรง แต่หากพิจารณาจากผลการดำเนินงานของธุรกิจหลัก (Core Business) ในรอบ 9 เดือน 2564 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้นจาก 696.32 ล้านบาท เป็น 787.68 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตร้อยละ 13.12 และมีกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นจาก 205.82 ล้านบาท เป็น 266.45 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตร้อยละ 29.46 อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ มีกำไรส่วนของบริษัทใหญ่ 19.29 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการลดลงร้อยละ 88.86 เทียบจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากมีการขาดทุนจำนวน 212.85 ล้านบาท จากการหยุดการดำเนินงานของบริษัทย่อยทั้ง 2 แห่ง
ขณะที่ผลการดำเนินงานสำหรับไตรมาสที่ 3 ปี 2564 ของบริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 184.25 ล้านบาท หรือลดลงในอัตราร้อยละ 36.53 เพราะได้รับผลกระทบจากแพร่ระบาดของของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ อย่างไรก็ตาม อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Margin) มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 40.23 เป็น 42.15 เป็นผลมาจากการควบคุมต้นทุนการผลิตที่มีประสิทธิภาพ และมีกำไรจากการดำเนินงาน 41.32 ล้านบาท หรือลดลงในอัตราร้อยละ 52.52 และมีกำไรส่วนของบริษัทใหญ่ 22 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการลดลงร้อยละ 68.33 เทียบจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน