DOD เดินเกมรุกครึ่งปีหลัง ลุยกัญชงเต็มสูบ จ่อส่งมอบเมล็ดพันธุ์ปลายส.ค.พร้อมเดินเครื่องโรงสกัด ต.ค.นี้
กรุงเทพฯ – บมจ.ดีโอดี ไบโอเทค (DOD) จ่อเดินเกมรุกครึ่งปีหลัง ดัน “สยาม เฮอเบิล เทค” ลุย กัญชงเต็มสูบ เตรียมส่งมอบเมล็ดพันธุ์กัญชงให้พาร์ทเนอร์ (บริษัททีเอชซีจี กรุ๊ป – วิสาหกิจชุมชนทุ่ง
นางแลฯ – วิสาหกิจชุมชนผู้ปลูกและแปรรูปบุกเขาค้อ)ปลูกปลายส.ค.นี้ เพื่อจำหน่ายให้ DOD นำสารสำคัญมาสกัด Hemp Seed Oil – CBD ขณะที่โรงสกัดแล้วเสร็จพร้อมดำเนินการเชิงพาณิชย์ภายในต.ค.นี้ ตอกย้ำเป็นผู้นำการผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร รวมถึงผู้นำด้านโรงสกัดรายใหญ่ที่ผลิตสารสกัดจากกัญชงครบวงจร แบบ One Stop Service Solution ตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ ในระดับต้นๆของประเทศ ระบุ DOD เปิด LAB ให้ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์วิจัยคิดค้นสารตั้งต้นสำคัญของยา“ฟาวิพิราเวียร์” เพื่อนำมาผลิตเป็นยาต้านเชื้อไวรัสในประเทศไทย
นายธนิน ศรีเศรษฐี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดีโอดี ไบโอเทค จำกัด (มหาชน)หรือ DOD เปิดเผยถึงทิศทางครึ่งปีหลังว่า จากสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันที่มีความเสี่ยงสูงและเปราะบางทำให้บริษัทฯได้ประเมินความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาวจึงเห็นควรว่า ต้องมีการหยุดการดำเนินงานของบริษัทย่อยทั้ง 2 แห่ง ซึ่งประกอบด้วยธุรกิจเครื่องสำอางและธุรกิจเครือข่าย เพื่อไม่ให้มีผลขาดทุนต่อเนื่องต่อไป
บริษัทฯจะมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับธุรกิจโรงสกัดซึ่งเป็นหัวใจหลักของธุรกิจ ( Core Business) ซึ่งจะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มและสามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันให้กับกลุ่มบริษัทได้อย่างมั่นคง ที่ผ่านมาบริษัทฯได้จัดตั้งบริษัทย่อยภายใต้ บริษัทสยาม เฮอเบิล เทค จำกัด เข้ามาดำเนินธุรกิจด้านโรงสกัดสำหรับรองรับการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ สารสกัดจากกัญชง-กัญชา พืชกระท่อม (ซึ่งถือพืชเศรษฐกิจใหม่ของประเทศ) และพืชสมุนไพรอื่นๆ รวมถึงเป็นผู้นำเข้าเมล็ดพันธุ์กัญชงจากประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อนำมาจำหน่ายให้กับเครือข่ายผู้ปลูกกัญชง
จากความคืบหน้าล่าสุด บริษัทสยาม เฮอเบิล เทค ได้ทำสัญญากับกลุ่มเกษตรกร (Contract Farming) รายใหญ่ และกลุ่มรัฐวิสาหกิจชุมชน อาทิ บริษัท ทีเอชซีจี กรุ๊ป จำกัด วิสาหกิจชุมชนทุ่งนางแลสมุนไพรเพื่อการแพทย์ รวมถึงวิสาหกิจชุมชนผู้ปลูกและแปรรูปบุกเขาค้อ ที่ได้รับใบอนุญาตการปลูกกัญชง จังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยบริษัทฯคาดว่าจะทยอยส่งมอบเมล็ดพันธุ์กัญชง ซึ่งเป็นเมล็ดพันธุ์นำเข้าที่ได้ใบอนุญาตจากสำนักงานอย.ให้กลุ่มพันธมิตรดังกล่าวภายในเดือนสิงหาคมนี้ เพื่อดำเนินการปลูก โดยบริษัททีเอชซีจี กรุ๊ป จำกัด จะนำเมล็ดพันธุ์ที่ได้รับ จำนวน 1 แสนเมล็ด ไปปลูกเพื่อนำเมล็ดกัญชง มาจำหน่ายให้กับบริษัทฯ เพื่อนำไปสกัดน้ำมันจากเมล็ดกัญชง (Hemp Seed Oil)
ในขณะที่วิสาหกิจชุมชนทุ่งนางแลสมุนไพรเพื่อการแพทย์ จะนำเมล็ดพันธุ์ที่ได้รับทั้งหมด 2.5 หมื่นเมล็ด ไปปลูกเพื่อเอาช่อดอก เพื่อจำหน่ายให้บริษัทฯนำสารสำคัญไปผลิต CBD หลังจากนั้นจะเข้าสู่กระบวนการสกัดสารและผลิตผลิตภัณฑ์ เพื่อส่งมอบให้กับลูกค้าตามออเดอร์ ได้ภายในช่วงไตรมาส 4/2564 หรือ ต้นปี 2565 ตามแผนที่วางไว้ ซึ่งบริษัทฯเชื่อมั่นว่าจะสามารถผลิตเชิงพาณิชย์ได้เป็นรายแรกของประเทศไทย
สำหรับความคืบหน้าการจัดตั้งโรงสกัดนั้น ล่าสุดได้มีความคืบหน้าในการก่อสร้างไปแล้วกว่า 80% พร้อมทั้งได้มีการนำเข้าเครื่องจักรเข้ามาติดตั้งภายในโรงงานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นบริษัทฯคาดว่าโรงสกัดดังกล่าวจะแล้วเสร็จและสามารถดำเนินการผลิตในเชิงพาณิชย์ได้ภายในเดือนตุลาคมนี้อย่างแน่นอน โดยโรงสกัดดังกล่าวถูกก่อสร้างภายใต้การรับรองตามมาตรฐาน PIC/S ซึ่งเป็นมาตรการของโรงงานผลิตยา
หากโรงสกัดแล้วเสร็จและได้รับใบอนุญาตตั้งโรงงานสกัดสาร CBD ในการเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์สารสกัดจากกัญชงตามแผนที่วางไว้ จะเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงศักยภาพความแข็งแกร่งในการเป็นผู้นำของกลุ่มบริษัท DOD ทั้งด้านการเป็นผู้นำการผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร รวมถึงผู้นำด้านโรงสกัดรายใหญ่ที่ผลิตสารสกัดสำคัญจากกัญชง-กัญชา พืชกระท่อม รวมถึงพืชสมุนไพรอื่นๆที่ครบวงจรแบบ One Stop Service Solution ตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ ในระดับต้นๆของประเทศ
ด้านนางสาวสุวารินทร์ ก้อนทอง ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บมจ.ดีโอดี ไบโอเทค กล่าวเพิ่มเติมว่าจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)บริษัทฯได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนห้อง LAB ปฏิบัติการให้กับทางสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้การดูแลของราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ สถาบันการวิจัยและวิชาการชั้นสูงของประเทศไทยเพื่อใช้สำหรับงานวิจัยคิดค้นสารตั้งต้นสำคัญของยาฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir))เพื่อนำมาผลิตเป็นยาต้านเชื้อไวรัสในประเทศไทยภายใต้การดูแลของราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ โดยมีเป้าหมายต้องการเห็นประเทศไทยพ้นจากวิกฤติการระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้โดยเร็วที่สุด ซึ่งล่าสุดราชวิทยาลัยจุฬาฯได้มีการส่งวัตถุดิบซึ่งเป็นสารตั้งต้นที่สำคัญในการผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ มาให้ทีมวิจัยและพัฒนา(R&D)ของ DOD ช่วยวิเคราะห์เพื่อร่วมหาสารตั้งต้นดังกล่าวแล้ว ทั้งนี้บริษัทฯมองว่าการที่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมทั้งวิเคราะห์วิจัย และสนับสนุนห้อง LAB เพื่อปฏิบัติการครั้งนี้ ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีของบริษัทฯที่ได้มีส่วนร่วมในการช่วยเหลือประเทศ
“ สำหรับสาเหตุที่สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์เข้ามาใช้ห้องปฏิบัติการ (LAB)ของ DOD เนื่องจากเล็งเห็นว่า LAB ของเราได้รับการรับรองตามมาตรฐาน ISO/IEC 17025 : 2017 รวมถึงยังได้การรับรองมาตรฐาน ISO 22000:2018 (ระบบการจัดการความปลอดภัยของอาหาร) และ ISO 14001 : 2015 (ระบบการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม)รวมถึงมีทีมวิจัยและพัฒนา (R&D) ที่สามารถสนับสนุนงานวิจัยในการคิดค้นสารตั้งต้นสำคัญของยาฟาวิพิราเวียร์ ร่วมกับสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ได้ตรงตามที่ต้องการ ”
พร้อมทั้งนี้ ยังได้กล่าวเพิ่มเติม แม้ว่าสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอย่างรุนแรงจากโรคระบาดไวรัสโคโรนา 2019 แต่ผลการดำเนินงานสำหรับไตรมาสที่ 2 ปี 2564 ของบริษัทยังคงมีรายได้จากการขาย 247.91 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.42 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 9.94 และมีกำไรจากการดำเนินงาน 73.08 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.98ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 32.63 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตามบริษัทฯได้ประเมินความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาวจึงเห็นควรว่าต้องมีการหยุดการดำเนินงานของบริษัทย่อยทั้ง 2 แห่งในธุรกิจเครือข่าย ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวทำให้ต้องตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยลูกหนี้และลูกหนี้อื่น ค่าเผื่อการด้อยค่าสินทรัพย์ทางการเงิน และค่าเผื่อการลดมูลค่าสินค้าคงเหลือจึงส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อกิจการ ทำให้เกิดผลขาดทุนส่วนของบริษัทใหญ่จำนวน (57.83) ล้านบาท แต่บริษัทเล็งเห็นว่าการปรับโครงสร้างองค์กรในครั้งนี้จะทำให้บริษัทมีการเติบโตอย่างมั่นคง
โดยพิจารณาได้จากผลการดำเนินงานของธุรกิจหลัก (Core Business) ในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา บริษัทฯมีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้นจาก 406.04 ล้านบาท เป็น 603.44 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตร้อยละ 48.62 และมีกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นจาก 118.81 ล้านบาท เป็น 225.14 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตร้อยละ 89.50 และมีกำไรที่ไม่รวมของบริษัทย่อยทั้งสองแห่งที่หยุดดำเนินงานเพิ่มขึ้นจาก 83.23 ล้านบาท เป็น 175.92 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตร้อยละ 111.37 เทียบจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน