DOD ลุยกัญชงเต็มสูบ-ดันรายได้ธุรกิจหลักพุ่ง
“ดีโอดี” เดินเกมรุกครึ่งปีหลัง ดัน “สยาม เฮอเบิล เทค” ลุยกัญชงเต็มสูบ เตรียมส่งมอบเมล็ดพันธุ์ฯให้พาร์ทเนอร์- วิสาหกิจชุมชนฯปลูกปลายส.ค.นี้ ขณะที่โรงสกัดพร้อมดำเนินการเชิงพาณิชย์ภายในต.ค.นี้ เผยไตรมาสที่ 2 รายได้จากการขาย แตะ 247 ล้านบาท
นายธนิน ศรีเศรษฐี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดีโอดี ไบโอเทค จำกัด (มหาชน)หรือ DOD เปิดเผยถึงทิศทางครึ่งปีหลังว่า จากสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันที่มีความเสี่ยงสูงและเปราะบางทำให้บริษัทฯได้ประเมินความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาวจึงเห็นควรว่า ต้องมีการหยุดการดำเนินงานของบริษัทย่อยทั้ง 2 แห่ง ซึ่งประกอบด้วยธุรกิจเครื่องสำอางและธุรกิจเครือข่าย เพื่อไม่ให้มีผลขาดทุนต่อเนื่องต่อไป
บริษัทฯจะมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับธุรกิจโรงสกัดซึ่งเป็นหัวใจหลักของธุรกิจ ( Core Business) ซึ่งจะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มและสามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันให้กับกลุ่มบริษัทได้อย่างมั่นคง ที่ผ่านมาบริษัทฯได้จัดตั้งบริษัทย่อยภายใต้ บริษัทสยาม เฮอเบิล เทค จำกัด เข้ามาดำเนินธุรกิจด้านโรงสกัดสำหรับรองรับการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ สารสกัดจากกัญชง-กัญชา พืชกระท่อม และพืชสมุนไพรอื่นๆ รวมถึงเป็นผู้นำเข้าเมล็ดพันธุ์กัญชงจากประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อนำมาจำหน่ายให้กับเครือข่ายผู้ปลูกกัญชง
ล่าสุด บริษัทสยาม เฮอเบิล เทค ได้ทำสัญญากับกลุ่มเกษตรกร (Contract Farming) รายใหญ่ และกลุ่มรัฐวิสาหกิจชุมชน อาทิ บริษัท ทีเอชซีจี กรุ๊ป จำกัด วิสาหกิจชุมชนทุ่งนางแลสมุนไพรเพื่อการแพทย์ รวมถึงวิสาหกิจชุมชนผู้ปลูกและแปรรูปบุกเขาค้อ ที่ได้รับใบอนุญาตการปลูกกัญชง จังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยคาดว่าจะทยอยส่งมอบเมล็ดพันธุ์กัญชงให้กลุ่มพันธมิตรดังกล่าวภายในเดือนสิงหาคมนี้ เพื่อดำเนินการปลูก โดยบริษัททีเอชซีจี กรุ๊ป จำกัด จะนำเมล็ดพันธุ์ที่ได้รับ จำนวน 1 แสนเมล็ด ไปปลูกเพื่อนำเมล็ดกัญชงมาจำหน่ายให้กับบริษัทฯ เพื่อนำไปสกัดน้ำมันจากเมล็ดกัญชง (Hemp Seed Oil)
ในขณะที่วิสาหกิจชุมชนทุ่งนางแลสมุนไพรเพื่อการแพทย์ จะนำเมล็ดพันธุ์ที่ได้รับทั้งหมด 2.5 หมื่นเมล็ด ไปปลูกเพื่อเอาช่อดอก เพื่อจำหน่ายให้บริษัทฯนำสารสำคัญไปผลิต CBD หลังจากนั้นจะเข้าสู่กระบวนการสกัดสารและผลิตผลิตภัณฑ์ เพื่อส่งมอบให้กับลูกค้าตามออเดอร์ ได้ภายในช่วงไตรมาส 4/2564 หรือ ต้นปี 2565 ตามแผนที่วางไว้ ซึ่งบริษัทฯเชื่อมั่นว่าจะสามารถผลิตเชิงพาณิชย์ได้เป็นรายแรกของประเทศไทย
ส่วนความคืบหน้าการจัดตั้งโรงสกัดนั้น ล่าสุดได้มีความคืบหน้าในการก่อสร้างไปแล้วกว่า 80% พร้อมทั้งได้มีการนำเข้าเครื่องจักรเข้ามาติดตั้งภายในโรงงานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะแล้วเสร็จและดำเนินการผลิตในเชิงพาณิชย์ได้ภายในเดือนตุลาคมนี้
ด้านนางสาวสุวารินทร์ ก้อนทอง ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บมจ.ดีโอดี ไบโอเทค กล่าวว่าจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 บริษัทได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนห้อง LAB ปฏิบัติการให้กับ สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ภายใต้การดูแลของราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ เพื่อใช้สำหรับงานวิจัยคิดค้นสารตั้งต้นสำคัญของยาฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir) )เพื่อนำมาผลิตเป็นยาต้านเชื้อไวรัสในประเทศไทย
สำหรับผลการดำเนินงานสำหรับไตรมาสที่ 2 ปี 2564 ของบริษัทยังคงมีรายได้จากการขาย 247.91 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.42 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 9.94 และมีกำไรจากการดำเนินงาน 73.08 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.98 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 32.63 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
อย่างไรก็ตามจากการทีบริษัทได้ให้บริษัทย่อยทั้ง2แห่งหยุดดำเนินการทำให้ต้องตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยลูกหนี้และลูกหนี้อื่น ค่าเผื่อการด้อยค่าสินทรัพย์ทางการเงิน และค่าเผื่อการลดมูลค่าสินค้าคงเหลือ จึงส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อกิจการ ทำให้เกิดผลขาดทุนส่วนของบริษัทใหญ่จำนวน (57.83) ล้านบาท แต่บริษัทเล็งเห็นว่าการปรับโครงสร้างองค์กรในครั้งนี้จะทำให้บริษัทมีการเติบโตอย่างมั่นคง
โดยพิจารณาได้จากผลการดำเนินงานของธุรกิจหลัก (Core Business) ในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา บริษัทฯมีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้นจาก 406.04 ล้านบาท เป็น 603.44 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตร้อยละ 48.62 และมีกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นจาก 118.81 ล้านบาท เป็น 225.14 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตร้อยละ 89.50 และมีกำไรที่ไม่รวมของบริษัทย่อยทั้งสองแห่งที่หยุดดำเนินงานเพิ่มขึ้นจาก 83.23 ล้านบาท เป็น 175.92 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตร้อยละ 111.37 เทียบจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน